ประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ
ตำนานเก่าแก่แห่งเมืองมนต์ขลังเล่าว่า อดีตกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงดอยโกสิยธชัคคะบรรพตและได้มอบพระเกศาธาตุให้ขุนลั๊วอ้ายก้อมไปบรรจุในผอบแก้วแล้วนำไปไว้ในถ้ำด้านตะวันออกของดอยที่ประทับ ซึ่งผ้าแพรที่ขุนลั๊วอ้ายก้อมนำมารองรับพระเกศาธาตุนั้นเรียกว่า “ผ้าแฮ” นิยมนำผ้าแฮ หรือผ้าแพรมาประดิษฐ์เป็นช่อ หรือธง แล้วทำการถวายสักการะเป็นพุทธบูชา ต่อมาภายหลังเพี้ยนมาเป็น “ช่อแฮ่” หรือ “ช่อแพร่” โดยครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงมีรับสั่งว่า ต่อไปเมืองนี้จะชื่อเมืองแพร่ และหลังจากที่พระองค์ปรินิพพานแล้ว ให้นำพระธาตุข้อศอกข้างซ้ายมาประดิษฐ์ที่นี่ด้วย และหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ๒๑๘ ปี พระเจ้าอโศกมหาราชและพระอรหันต์จำนวนมากได้ร่วมกันอธิษฐานอันเชิญพระบรมสารีกริกธาตุที่ได้บรรจุในผอบแก้วที่เตรียมไว้นั้นไปสถิตในสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงหมายไว้แต่เดิม แล้วประกาศแก่เทวดาทั้งหลายให้พิทักษ์รักษาตลอดไป จนกว่าจะหมดอายุแห่งพระพุทธศาสนา ๕๐๐๐ พระวัสสา
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ระบุว่า ในสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ครั้งทรงดำรงตำแหน่งมหาอุปราชเมืองศรีสัชชนาลัย ได้เสด็จยกทัพแปรพระราชฐานมาทำการบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุช่อแฮเสร็จแล้ว ทรงให้มีงานฉลองสมโภช ๗ วัน ๗ คืน ตั้งแต่วันขึ้น ๙-๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหนือ เดือน ๔ ใต้ และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เจ้าผู้ครองนครแพร่ทุกพระองค์ก็ได้ยึดถือประเพณีไหว้พระธาตุประจำปีสืบมา
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ในสมัยของเจ้าหลวงพิริยะชัยเทพวงศ์ ได้ลดการจัดงานเหลือ ๕ วัน ๕ คืน คือวันขึ้น ๑๑-๑๕ ค่ำ เดือน๖ เหนือ เดือน ๔ ใต้ ของทุกปี ภายในงานประกอบด้วยขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ประกอบไปด้วย ริ้วขบวนของทุกอำเภอ ขบวนช้างเจ้าหลวง และเครื่องบรรณาการ ขบวนแห่กังสดาล ขบวนแห่หมากเป็ง ขบวนต้นผึ้ง ขบวนแห่ผ้าแพรคลุมองค์พระธาตุ ๑๒ สี ซึ่งประกอบด้วยขบวน ๑๒ ราศี ขบวนเทพีโปรยข้าวตอกดอกไม้ ต้นหมาก ต้นผึ้ง ด้นดอก ขบวนตุง ขบวนฟ้อนรำ มีการเทศน์และฟังเทศน์มหาชาติ มหาเวสสันดรชาดก ทั้งกลางวันและกลางคืน สำหรับกลางคืนมีมหรสพสมโภชตลอดงาน
ปัจจุบันประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่แห่ตุงหลวงนอกจากจะมีขบวนแห่ที่อลังการตามแบบอย่างในอดีตแล้วภายในงานยังมีกิจกรรมอื่นอีกมากมาย เช่น กิจกรรมการสาธิตการทำตุง โคม เครื่องสักการะล้านนา การประกวดหนูน้อยช่อแฮ รวมทั้งการออกร้านและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจและน่ามาสัมผัสความอลังการด้วยตนเองทั้งสิ้น
– วันเวลาการจัดงาน : วันขึ้น ๙-๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหนือ เดือน ๔ ใต้ ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมของทุกปี
– สถานที่จัดงาน : วัดพระธาตุช่อแฮ ห่างจากตัวเมืองแพร่ไปตามถนนช่อแฮ ประมาณ ๙ กิโลเมตร (เส้นทางหลวงหมายเลข ๑๐๒๒)
ประเพณีอัฐมีบูชา
องค์พระเมรุตกแต่งประดับลวดลายวิจิตร จากช่างฝีมือท้องถิ่น ภายในประดิษฐานสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอิริยาบถไสยาสน์ เข้าสู่วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วันวิสาขบูชา) มีการตั้งพระบรมศพฯ ณ ศาลาการเปรียญวัดพระบรมธาตุ เริ่มต้นการบำเพ็ญกุศลตามความเชื่อทางศาสนา ตักบาตร สวดอภิธรรม และเทศนาธรรม ผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ สะท้อนภาพความร่วมมือและความสามัคคีของชาวทุ่งยั้งอย่างแท้จริง
และเมื่อถึง วันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ บรรยากาศยามค่ำคืนประมาณ ๒ ทุ่มเศษเงียบสงัด ทั้งที่ผู้คนต่างมาร่วมกันมากมาย เข้าสู่ช่วงพิธีกรรม อัฐมีบูชา พระภิกษุ สามเณร พร้อมด้วยชาวทุ่งยั้ง ต่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรม สวมบทบาทสมมุติเล่าเรื่องราวพุทธประวัติเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แล้วนำมาสู่การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า ประกอบแสง สี เสียง อย่างสมจริง
หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมพิธีร่วมกันถวายดอกไม้จันทน์ ดอกไม้ธูปเทียน เป็นพุทธบูชา นับเป็นพิธีกรรมที่ยึดถือปฏิบัติมาช้านาน ซึ่งในปัจจุบันนั้นค่อนข้างเลือนราง ชาวทุ่งยั้งยังคงรักษาเอกลักษณ์เหล่านี้ไว้ เพื่อให้คงอยู่ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่กลับมีคุณค่า และความสำคัญไม่น้อยกว่างานเทศกาลประเพณีใดๆ
– วันเวลาการจัดงาน : ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วันวิสาขบูชา) ถึง แรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ รวม ๑๐ วัน
– สถานที่จัดงาน : วัดพระธาตุทุ่งยั้ง