ยินดีต้อนรับสู่เว็บของเด็กหญิง มารียา อักษรสวัสดิ์ เลขที่ 39 ร.ร. พิมานพิทยาสรรค์

ยินดีต้อนรับสู่เว็บของเด็กหญิง มารียา อักษรสวัสดิ์ เลขที่ 39 ร.ร. พิมานพิทยาสรรค์

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

นิทานพื้นบ้าน

         นิทานของภาคของแต่ละภาคมักเต็มไปด้วยสาระ คติสอนใจ พร้อมความสนุกสนานเพลิดเพลิน อาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ลักษณะสำคัญของภูมิภาค ส่วนนิทานพื้นบ้านจากภาคเหนือมักเป็นตำนานของสถานที่ต่าง ๆ หรือความเป็นมาและสาเหตุของสถานที่เหล่านั้นเล่าสืบต่อกันมาช้านาน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และได้สาระที่เป็นคติสอนใจ อาทิ ความดี ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ รวมถึงยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นภาคเหนืออีกด้วย 


  •           ยกตัวอย่างนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ได้แก่

  •              เรื่อง ลานนางคอย จังหวัดแพร่

  •              เรื่อง เมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์

  •              เรื่อง เซี่ยงเมี่ยงค่ำพญา

  •              เรื่อง ปู๋เซ็ดค่ำลัวะ

  •              เรื่อง ดนตรีธรรมชาติ

  •              เรื่อง เชียงดาว

  •              เรื่อง อ้ายก้องขี้จุ๊

  •              เรื่อง ผาวิ่งชู้

  •              เรื่อง ควายลุงคำ

  •              เรื่อง ย่าผันคอเหนียง
ประเพณียี่เป็ง (วันเพ็ญเดือนยี่) หรืองานลอยกระทง โดยจะมีงาน "ตามผางผะติ้ป" (จุดประทีป) ซึ่งชาวภาคเหนือตอนล่างจะเรียกประเพณีนี้ว่า “พิธีจองเปรียง” หรือ “ลอยโขมด” เป็นงานที่ขึ้นชื่อที่จังหวัดสุโขทัย

ประเพณีลอยกระทงสายหรือประทีปพันดวง ที่จังหวัดตาก ในเทศกาลเดียวกันด้วยในเดือน 3 หรือประมาณเดือนธันวาคม มีประเพณีตั้งธรรมหลวง (เทศน์มหาชาติ) และทอดผ้าป่า ในธันวาคมจะมีการเกี่ยว "ข้าวดอ" (คือข้าวสุกก่อนข้าวปี) พอถึงข้างแรมจึงจะมีการเกี่ยว "ข้าวปี"

ประเพณีตานตุง  ในภาษาถิ่นล้านนา ตุง หมายถึง "ธง" จุดประสงค์ของการทำตุงในล้านนาก็คือ การทำถวายเป็นพุทธบูชา ชาวล้านนาถือว่าเป็นการทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือถวายเพื่อเป็นปัจจัยส่งกุศลให้แก่ตนไปในชาติหน้า ด้วยความเชื่อที่ว่า เมื่อตายไปแล้วก็จะได้เกาะยึดชายตุงขึ้นสวรรค์พ้นจากขุมนรก วันที่ถวายตุงนั้นนิยมกระทำในวันพญาวันซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์

เพลงพื้นบ้านในภาคเหนือ

             วัฒนธรรมเพลงพื้นบ้านท้องถิ่นในของภาคเหนือ เน้นความเพลงที่มีความสนุกสนาน สามารถใช้ร้องเล่นได้ทุกโอกาส ไม่จำกัดฤดู ไม่จำกัดเทศกาล ส่วนใหญ่นิยมใช้ร้องเพลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ และการพักผ่อนหย่อนใจ โดยลักษณะการขับร้องและท่วงทำนองจะ อ่อนโยน ฟังดูเนิบนาบนุ่มนวล สอดคล้องเครื่องดนตรีหลัก ได้แก่ ปี่ ซึง สะล้อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถจัดประเภทของเพลงพื้นบ้านของภาคเหนือได้ 4 ประเภท ดังนี้

เพลงซอ คือการร้องเพลงร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง เพื่อเกี้ยวพาราสีกัน โดยมีการบรรเลงปี่ สะล้อและซึง เคล้าคลอไปด้วย

เพลงค่าว ซึ่งเป็นบทขับร้องที่มีทำนองสูงต่ำ ไพเราะ

เพลงจ๊อย คล้ายการขับลำนำ โดยมีผู้ร้องหลายคน เป็นการนำบทประพันธ์ของภาคเหนือ นำมาขับร้องเป็นทำนองสั้น ๆ โดยเนื้อหาเป็นการระบายความในใจ แสดงอารมณ์ความรัก ความเงียบเหงา ทั้งนี้ มีผู้ขับร้องเพียงคน เดียว โดยจะใช้ดนตรีบรรเลงหรือไม่ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น จ๊อยให้กับคนรักรู้คนในใจ จ๊อยประชันกันระหว่างเพื่อนฝูง และจ๊อยเพื่ออวยพรในโอกาสต่าง ๆ หรือจ๊อยอำลา

เพลงเด็ก มีลักษณะคล้ายกับเพลงเด็กของภาคอื่น ๆ คือ เพลงกล่อมเด็ก เพลงปลอบเด็ก และเพลงที่เด็กใช้ร้องเล่นกันได้แก่ เพลงกล่อมลูก หรือเพลงฮื่อลูก และเพลงสิกจุ่ง-จา (สิก จุ่ง-จา หมายถึง เล่นชิงช้า) ซึ่งการสิกจุ่งจาเป็นการละเล่นของภาคเหนือ จะผู้เล่นมีกี่คนก็ได้ โดยชิงช้าทำด้วยเชือกเส้นเดียวสอดเข้าไปในรูกระบอกไม้ซาง แล้วผูกปลายเชือกทั้งสองไว้กับต้นไม้หรือใต้ถุนบ้าน

ประเพณีของภาคเหนือ

          ประเพณีของภาคเหนือ เกิดจากการผสมผสานการดำเนินชีวิต และศาสนาพุทธความเชื่อเรื่องการนับถือผี ส่งผลทำให้มีประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของประเพณีที่จะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล ทั้งนี้ ภาคเหนือจะมีงานประเพณีในรอบปีแทบทุกเดือน จึงขอยกตัวอย่างประเพณีภาคเหนือบางส่วนมานำเสนอ ดังนี้

สงกรานต์งานประเพณี ถือเป็นช่วงแรกของการเริ่มต้นปี๋ใหม่เมือง หรือสงกรานต์งานประเพณี โดยแบ่งออกเป็น


วันที่ 13 เมษายน  หรือวันสังขารล่อง  ถือเป็นวันสิ้นสุดของปี  โดยจะมีการยิงปืน  ยิงสโพก และจุดประทัดตั้งแต่ก่อนสว่างเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดี  วันนี้ต้องเก็บกวาดบ้านเรือน และ ทำความสะอาดวัด


วันที่ 14 เมษายน  หรือวันเนา ตอนเช้าจะมีการจัดเตรียมอาหาร  และเครื่องไทยทาน  สำหรับงานบุญในวันรุ่งขึ้น  ตอนบ่ายจะไปขนทรายจากแม่น้ำเพื่อนำไปก่อเจดีย์ทรายในวัด  เป็นการทดแทนทรายที่เหยียบติดเท้าออกจากวัดตลอดทั้งปี


วันที่ 15 เมษายน  หรือวันพญาวัน เป็นวันเริ่มศักราชใหม่ มีการทำบุญถวายขันข้าว ถวายตุง  ไม้ค้ำโพธิ์ที่วัดสรงน้ำพระพุทธรูป พระธาตุและรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ


วันที่ 16-17  เมษายน  หรือวันปากปีและวันปากเดือน  เป็นวันทำพิธีทางไสยศาสตร์  สะเดาะเคราะห์  และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ ชาวล้านนามีความเชื่อว่า การทำพิธีสืบชะตาจะช่วยต่ออายุให้ตน เอง ญาติพี่น้อง และบ้านเมืองให้ยืนยาว ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นสิริมงคล โดยแบ่งการสืบชะตาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ การสืบชะตาคน, การสืบชะตาบ้าน และการสืบชะตาเมือง

    แห่นางแมว 

 ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม เป็นช่วงของการเพาะปลูก หากปีใดฝนแล้งไม่มีน้ำ จะทำให้นาข้าวเสียหาย ชาวบ้านจึงพึ่งพาสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ทำพิธีขอฝนโดยการแห่นางแมว โดยมีความเชื่อกันว่าหากกระทำเช่นนั้นแล้วจะช่วยให้ฝนตก

ประเพณีปอยน้อย/บวชลูกแก้ว/แหล่ส่างลองเป็นประเพณีบวช หรือการบรรพชาของชาวเหนือ 

นิยมจัดภายในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม หรือเมษายน ตอนช่วงเช้า ซึ่งเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้ว ในพิธีบวชจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ มีการแห่งลูกแก้วหรือผู้บวชที่จะแต่งตัวอย่างสวยงามเลียนแบบเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะถือคตินิยมว่าเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกบวชจนตรัสรู้  และนิยมให้ลูกแก้วขี่ม้า  ขี่ช้าง  หรือขี่คอคน  เปรียบเหมือนม้ากัณฐกะม้าทรงของเจ้าชายสิทธัตถะ  ปัจจุบันประเพณีบวชลูกแก้วที่มีชื่อเสียง  คือ  ประเพณีบวชลูกแก้ว  ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ประเพณีปอยหลวง หรืองานบุญปอยหลวง 

เป็นเอกลักษณ์ของชาวล้านนาซึ่งเป็นผลดีต่อสภาพทางสังคม ถือว่าเป็นการให้ชาวบ้านได้มาทำบุญร่วมกัน ร่วมกันจัดงานทำให้เกิดความสามัคคีในการทำงาน งานทำบุญปอยหลวงยังเป็นการรวมญาติพี่น้องที่อยู่ต่างถิ่นได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน และมีการสืบทอดประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาครั้งแต่บรรพชนไม่ให้สูญหายไปจากสังคม
วัฒนธรรมการกิน

         ชาวเหนือมีวัฒนธรรมการกินคล้ายกับคนอีสาน  คือ  กินข้าวเหนียวและปลาร้า  ซึ่งภาษาเหนือเรียกว่า  ข้าวนิ่งและฮ้า  ส่วนกรรมวิธีการปรุงอาหารของภาคเหนือจะนิยมการต้ม  ปิ้ง แกง หมก ไม่นิยมใช้น้ำมัน ส่วนอาหารขึ้นชื่อเรียกว่าถ้าได้ไปเที่ยวต้องไปลิ้มลอง ได้แก่ น้ำพริกหนุ่ม, น้ำพริกอ่อง, น้ำพริกน้ำปู, ไส้อั่ว, แกงโฮะ, แกงฮังเล, แคบหมู, ผักกาดจอ ลาบหมู, ลาบเนื้อ, จิ้นส้ม (แหนม), ข้าวซอย, ขนมจีนน้ำเงี้ยว  เป็นต้น

นอกจากนี้ ชาวเหนือชอบกินหมากและอมเมี่ยง โดยนำใบเมียงที่เป็นส่วนใบอ่อนมาหมักให้มีรสเปรี้ยวอมฝาด เมื่อหมักได้ระยะเวลาที่ต้องการ จะนำใบเมี่ยงมาผสมเกลือเม็ด หรือน้ำตาล แล้วแต่ความชอบ ซึ่งนอกจากการอมเมี่ยงแล้ว คนล้านนาโบราณมีความนิยมสูบบุหรี่ที่มวนด้วยใบตองกล้วยมวนหนึ่งขนาดเท่านิ้วมือ และยาวเกือบคืบ ชาวบ้านเรียกจะเรียกบุหรี่ชนิดนี้ว่า ขี้โย หรือ บุหรี่ขี้โย ที่นิยมสูบกันมากอาจเนื่องมาจากอากาศหนาวเย็น เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับศาสนา-ความเชื่อ

          ชาวล้านนามีความผูกพันอยู่กับการนับถือผีซึ่งเชื่อว่ามีสิ่งเร้าลับให้ความคุ้มครองรักษาอยู่  ซึ่งสามารถพบเห็นได้จากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อเวลาที่ต้องเข้าป่าหรือต้องค้างพักแรมอยู่ในป่า จะนิยมบอกกล่าวและขออนุญาตเจ้าที่-เจ้าทางอยู่เสมอ และเมื่อเวลาที่กินข้าวในป่าจะแบ่งอาหารบางส่วนให้เจ้าที่อีกด้วย เช่นกัน ซึ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวิถีชีวิตที่ยังคงผูกผันอยู่กับการนับถือผีสาง แบ่งประเภท ได้ดังนี้  

       ผีบรรพบุรุษ มีหน้าที่คุ้มครองเครือญาติและครอบครัว

       ผีอารักษ์ หรือผีเจ้าที่เจ้าทาง มีหน้าที่คุ้มครองบ้านเมืองและชุมชน

       ผีขุนน้ำ มีหน้าที่ให้น้ำแก่ไร่นา

       ผีฝาย มีหน้าที่คุ้มครองเมืองฝาย

       ผีสบน้ำ หรือผีปากน้ำ มีหน้าที่คุ้มครองบริเวณที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน

       ผีวิญญาณประจำข้าว เรียกว่า เจ้าแม่โพสพ


       ผีวิญญาณประจำแผ่นดิน เรียกว่า เจ้าแม่ธรณี
ทั้งนี้ ชาวล้านนาจะมีการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ ในช่วงระหว่างเดือน 4 เหนือเป็ง (มกราคม) จนถึง 8 เหนือ (พฤษภาคม) เช่น ที่อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา จะมีการเลี้ยงผีเสื้อบ้านเสื้อเมือง ซึ่งเป็นผีบรรพ บุรุษของชาวไทลื้อ พอหลังจากนี้อีกไม่นานก็จะมีการเลี้ยงผีลัวะ หรือประเพณีบูชาเสาอินทขิล ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของคนเมือง ไม่นับรวมถึงการ เลี้ยงผีมด ผีเม็ง และการเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะของ ชาวลั๊วะ ซึ่งจะทยอยทำกันต่อจากนี้

          ส่วนช่วงกลางฤดูร้อนจะมีการลงเจ้าเข้าทรงตามหมู่บ้านต่าง ๆ อาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่าการลงเจ้าเป็นการพบปะพูดคุยกับผีบรรพบุรุษ ซึ่งในปีหนึ่งจะมีการลงเจ้าหนึ่งครั้ง และจะถือโอกาสทำพิธีรดน้ำดำหัวผีบรรพบุรุษไปด้วย ยังมีพิธีเลี้ยง "ผีมดผีเม็ง" ที่จัดขึ้นครั้งเดียวในหนึ่งปี  โดยจะต้องหาฤกษ์ยามที่เหมาะสม ก่อนวันเข้าพรรษา  จะทำพิธีอัญเชิญผีเม็งมาลง เพื่อขอใช้ช่วยปกปักษ์รักษา คุ้มครองชาวบ้านที่เจ็บป่วย และจัดหาดนตรีเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน


          อย่างไรก็ตาม คนล้านนามีความเชื่อในการเลี้ยงผีเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ แม้ว่าการดำเนินชีวิตของจะราบรื่นไม่ประสบปัญหาใด แต่ก็ยังไม่ลืมบรรพบุรุษที่เคยช่วยเหลือให้มีชีวิตที่ปกติสุขมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ยังคงพบเรือน เล็กๆ หลังเก่าตั้งอยู่กลางหมู่บ้านเสมอ หรือเรียกว่า  "หอเจ้าที่ประจำหมู่บ้าน"  เมื่อเวลาเดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ในชนบท ความเชื่อดังกล่าวจึงส่งผลให้ขนบธรรมเนียม ประเพณี และพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวเหนือ เช่น ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวเหนือ (พ่ออุ๊ย-แม่อุ๊ย) เมื่อไปวัดฟัง ธรรมก็จะประกอบพิธีเลี้ยงผี คือ จัดหาอาหารคาว-หวานเซ่น สังเวยผีปู่ย่าด้วย แม้ปัจจุบันในเขตตัวเมืองของภาคเหนือจะมีการนับถือผีที่อาจเปลี่ยนแปลงและเหลือน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามชาวบ้านในชนบทยังคงมีการปฏิบัติกันอยู่

วัฒนธรรมในท้องถิ่นของภาคเหนือ แบ่งออกได้ดังนี้

          วัฒนธรรมทางภาษาถิ่น

          ชาวไทยทางภาคเหนือมีภาษาล้านนาที่นุ่มนวลไพเราะ ซึ่งมีภาษาพูดและภาษาเขียนที่เรียกว่า "คำเมือง" ของภาคเหนือเอง โดยการพูดจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่  ปัจจุบันยังคงใช้พูดติดต่อสื่อสารกัน



วัฒนธรรมการแต่งกาย


          การแต่งกายพื้นเมืองของภาคเหนือมีลักษณะแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติของกลุ่มชนคนเมือง เนื่องจากผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งบ่งบอกเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นถิ่น

สำหรับหญิงชาวเหนือจะนุ่งผ้าซิ่น หรือผ้าถุง มีความยาวเกือบถึงตาตุ่ม ซึ่งนิยมนุ่งทั้งสาวและคนแก่ ผ้าถุงจะมีความประณีต งดงาม ตีนซิ่นจะมีลวดลายงดงาม ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลม มีสีสัน ลวดลายสวยงาม อาจห่มสไบทับ และเกล้าผม

ส่วนผู้ชายนิยมนุ่งนุ่งกางเกงขายาวลักษณะแบบกางเกงขายาวแบบ 3 ส่วน เรียกติดปากว่า "เตี่ยว" "เตี่ยวสะดอ" หรือ "เตี่ยวกี" ทำจากผ้าฝ้าย ย้อมสีน้ำเงินหรือสีดำ และสวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนสั้น แบบผ่าอก กระดุม 5 เม็ด สีน้ำเงินหรือสีดำ ที่เรียกว่า เสื้อม่อฮ่อม ชุดนี้ใส่เวลาทำงาน หรือคอจีนแขนยาว อาจมีผ้าคาดเอว ผ้าพาดบ่า และมีผ้าโพกศีรษะ 


          ชาวบ้านบางแห่งสวมเสื้อม่อฮ่อม นุ่งกางเกง สามส่วน และมีผ้าคาดเอว เครื่องประดับมักจะเป็นเครื่องเงินและเครื่องทอง


ผ้าพื้นเมืองของภาคเหนือ

           ผ้าฝ้ายลายปลาเสือตอ จังหวัดนครสวรรค์

           ผ้าไหมลายเพชร จังหวัดกำแพงเพชร

           ผ้าพื้นเมืองเชียงแสน ลายดอกขอเครือ (เกี่ยวขอ)  จังหวัดเชียงราย

           ผ้าตีนจก ลายเชียงแสน หงส์บี้ จังหวัดเชียงใหม่

           ผ้าฝ้ายลายดอกปีกค้างคาว จังหวัดตาก

           ผ้าไหมลายน้ำไหล จังหวัดน่าน

           ผ้าฝ้ายลายนกกระจิบ จังหวัดพิจิตร

           ผ้าฝ้ายมัดหมี่ลายดอกบีบ จังหวัดพิษณุโลก


           ผ้าหม้อห้อม จังหวัดแพร่



ประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุหริภุญชัย



“พระบรมธาตุหริภุญชัย หนึ่งในแปดแห่งจอมเจดีย์ ปูชนียสถานสำคัญ เมื่อครบรอบปีเวียนมาถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เหนือ วันวิสาขบูชา ชาวเหนือเรียกขานตรงกันว่า วันแปดเป็ง พุทธศาสนิกชนใกล้ ไกล หลั่งไหลร่วมงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุหริภุญชัย สักการบูชาพระบรมธาตุฯ สืบไป”

พระบรมธาตุหริภุญชัย เป็นเจดีย์องค์เก่าแก่องค์หนึ่งในล้านนา ตามประวัติเล่าว่า พระเจ้าอาทิตยราช กษัตรย์วงศ์รามัญผู้ครองนครลำพูนได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๔๔๐ นับจนถึงปัจจุบันก็มีอายุกว่า ๑๐๐๐ ปี ชื่อของวัดพระธาตุหริภุญชัย มาจากชื่อของเมืองหริภุญชัย ซึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จมาบิณฑบาตได้แวะรับฉันลูกสมอที่ชาวลั๊วะนำมาถวายและทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้จะมีผู้มาสร้างเมืองและตั้งชื่อว่า “หริภุญชัยนคร” โดนหริภุญชัยนั้นแปลว่า เมืองที่พระพุทธเจ้าเคยเสวยลูกสมอ

งานประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุมักจะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น ๙ ค่ำ เป็นต้นไป ซึ่งพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศจะหลั่งไหลมาร่วมงารสรงน้ำพระธาตุ มีการเตรียมข้าวของ เรียกว่า “ตาครัว” ถือเป็นการรวมญาติพี่น้องให้ได้มาพบปะเยี่ยมเยียน โดยในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ จะมีพิธีฝังเสาสำหรับผูกเชือกดึงหม้อน้ำสรง ชาวบ้านเรียกว่า เสาก๊างน้ำ ในวันนี้ฝนมักจะตก ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่า หลังจากฝังเสาก๊างน้ำแล้ว เทวดาจะต้องสรงน้ำพระธาตุก่อนใคร เมื่อเสร็จงานเรียบร้อยแล้ว เสาก๊างน้ำจะถอดเก็บรักษาไว้


ตอนบ่ายของวันที่ ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เหนือ ประชาชนจากทั่วสารทิศร่วมขบวนแห่นำน้ำสรงพระราชทาน พร้อมเครื่องสักการบูชาและน้ำทิพย์ดอยขะม้อไปยังวัดพระธาตุหริภุญชัยวรวิหาร แล้วทำพิธีถวายสักการะโดยคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ หลังจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน จะทำพิธีสรงน้ำพระธาตุโดยสรงน้ำพระราชทานก่อน ต่อจากนั้นประชาชนจึงเข้าสรงน้ำ เมื่อน้ำสรงเต็มหม้อประชาชนจะช่วยกันดึงเชือกให้หม้อน้ำสรงเลื่อนขึ้นไปยังองค์พระธาตุ ซึ่งบนองค์พระธาตุ มีชายแต่งตัวชุดขาวคล้ายพราหมณ์คอยรับน้ำสรงเพื่อนำไปสรงรอบๆ องค์พระธาตุ เรื่อยไปจนคล้อยค่ำ

– วันเวลาการจัดงาน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เหนือของทุกปี หรือที่ชาวเหนือเรียกว่า วันแปดเป็ง ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของภาคกลาง หรือ วันวิสาขบูชา
– สถานที่จัดงาน วัดพระธาตุหริภุญชัยวรวิหาร อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน

ภาคเหนือ ตอนบน มีทั้งหมด 9 จังหวัด ได้แก่

    1. จังหวัดเชียงราย 

    2. จังหวัดเชียงใหม่

    3. จังหวัดน่าน

    4. จังหวัดพะเยา

    5. จังหวัดแพร่

    6. จังหวัดแม่ฮ่องสอน

    7. จังหวัดลำปาง

    8. จังหวัดลำพูน

    9. จังหวัดอุตรดิตถ์


ภาคเหนือ ตอนล่าง มีทั้งหมด 8 จังหวัด ได้แก่

    1. จังหวัดตาก

    2. จังหวัดพิษณุโลก

    3. จังหวัดสุโขทัย

    4. จังหวัดเพชรบูรณ์

    5. จังหวัดพิจิตร

    6. จังหวัดกำแพงเพชร 

    7. จังหวัดนครสวรรค์


    8. จังหวัดอุทัยธานี


ประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ 




ตำนานเก่าแก่แห่งเมืองมนต์ขลังเล่าว่า  อดีตกาล  พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงดอยโกสิยธชัคคะบรรพตและได้มอบพระเกศาธาตุให้ขุนลั๊วอ้ายก้อมไปบรรจุในผอบแก้วแล้วนำไปไว้ในถ้ำด้านตะวันออกของดอยที่ประทับ  ซึ่งผ้าแพรที่ขุนลั๊วอ้ายก้อมนำมารองรับพระเกศาธาตุนั้นเรียกว่า “ผ้าแฮ”  นิยมนำผ้าแฮ หรือผ้าแพรมาประดิษฐ์เป็นช่อ  หรือธง  แล้วทำการถวายสักการะเป็นพุทธบูชา  ต่อมาภายหลังเพี้ยนมาเป็น  “ช่อแฮ่”  หรือ  “ช่อแพร่”  โดยครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงมีรับสั่งว่า  ต่อไปเมืองนี้จะชื่อเมืองแพร่  และหลังจากที่พระองค์ปรินิพพานแล้ว  ให้นำพระธาตุข้อศอกข้างซ้ายมาประดิษฐ์ที่นี่ด้วย  และหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ๒๑๘ ปี  พระเจ้าอโศกมหาราชและพระอรหันต์จำนวนมากได้ร่วมกันอธิษฐานอันเชิญพระบรมสารีกริกธาตุที่ได้บรรจุในผอบแก้วที่เตรียมไว้นั้นไปสถิตในสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงหมายไว้แต่เดิม  แล้วประกาศแก่เทวดาทั้งหลายให้พิทักษ์รักษาตลอดไป  จนกว่าจะหมดอายุแห่งพระพุทธศาสนา ๕๐๐๐ พระวัสสา

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์  ระบุว่า  ในสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท)  ครั้งทรงดำรงตำแหน่งมหาอุปราชเมืองศรีสัชชนาลัย  ได้เสด็จยกทัพแปรพระราชฐานมาทำการบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุช่อแฮเสร็จแล้ว  ทรงให้มีงานฉลองสมโภช ๗ วัน ๗ คืน  ตั้งแต่วันขึ้น ๙-๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหนือ เดือน ๔ ใต้  และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  เจ้าผู้ครองนครแพร่ทุกพระองค์ก็ได้ยึดถือประเพณีไหว้พระธาตุประจำปีสืบมา

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖  ในสมัยของเจ้าหลวงพิริยะชัยเทพวงศ์  ได้ลดการจัดงานเหลือ ๕ วัน ๕ คืน  คือวันขึ้น ๑๑-๑๕ ค่ำ เดือน๖ เหนือ เดือน ๔ ใต้ ของทุกปี  ภายในงานประกอบด้วยขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ประกอบไปด้วย  ริ้วขบวนของทุกอำเภอ  ขบวนช้างเจ้าหลวง  และเครื่องบรรณาการ  ขบวนแห่กังสดาล  ขบวนแห่หมากเป็ง  ขบวนต้นผึ้ง  ขบวนแห่ผ้าแพรคลุมองค์พระธาตุ ๑๒ สี  ซึ่งประกอบด้วยขบวน ๑๒ ราศี  ขบวนเทพีโปรยข้าวตอกดอกไม้  ต้นหมาก  ต้นผึ้ง  ด้นดอก  ขบวนตุง  ขบวนฟ้อนรำ  มีการเทศน์และฟังเทศน์มหาชาติ  มหาเวสสันดรชาดก  ทั้งกลางวันและกลางคืน  สำหรับกลางคืนมีมหรสพสมโภชตลอดงาน

ปัจจุบันประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ  เมืองแพร่แห่ตุงหลวงนอกจากจะมีขบวนแห่ที่อลังการตามแบบอย่างในอดีตแล้วภายในงานยังมีกิจกรรมอื่นอีกมากมาย เช่น  กิจกรรมการสาธิตการทำตุง  โคม  เครื่องสักการะล้านนา  การประกวดหนูน้อยช่อแฮ  รวมทั้งการออกร้านและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม  ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจและน่ามาสัมผัสความอลังการด้วยตนเองทั้งสิ้น

          –   วันเวลาการจัดงาน : วันขึ้น ๙-๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหนือ เดือน ๔ ใต้  ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมของทุกปี
          –   สถานที่จัดงาน : วัดพระธาตุช่อแฮ  ห่างจากตัวเมืองแพร่ไปตามถนนช่อแฮ  ประมาณ ๙ กิโลเมตร  (เส้นทางหลวงหมายเลข ๑๐๒๒)

ประเพณีอัฐมีบูชา




องค์พระเมรุตกแต่งประดับลวดลายวิจิตร จากช่างฝีมือท้องถิ่น ภายในประดิษฐานสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอิริยาบถไสยาสน์ เข้าสู่วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วันวิสาขบูชา) มีการตั้งพระบรมศพฯ ณ ศาลาการเปรียญวัดพระบรมธาตุ เริ่มต้นการบำเพ็ญกุศลตามความเชื่อทางศาสนา ตักบาตร สวดอภิธรรม และเทศนาธรรม ผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ สะท้อนภาพความร่วมมือและความสามัคคีของชาวทุ่งยั้งอย่างแท้จริง


และเมื่อถึง วันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ บรรยากาศยามค่ำคืนประมาณ ๒ ทุ่มเศษเงียบสงัด ทั้งที่ผู้คนต่างมาร่วมกันมากมาย เข้าสู่ช่วงพิธีกรรม อัฐมีบูชา พระภิกษุ สามเณร พร้อมด้วยชาวทุ่งยั้ง ต่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรม สวมบทบาทสมมุติเล่าเรื่องราวพุทธประวัติเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แล้วนำมาสู่การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า ประกอบแสง สี เสียง อย่างสมจริง

หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมพิธีร่วมกันถวายดอกไม้จันทน์ ดอกไม้ธูปเทียน เป็นพุทธบูชา นับเป็นพิธีกรรมที่ยึดถือปฏิบัติมาช้านาน ซึ่งในปัจจุบันนั้นค่อนข้างเลือนราง ชาวทุ่งยั้งยังคงรักษาเอกลักษณ์เหล่านี้ไว้ เพื่อให้คงอยู่ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่กลับมีคุณค่า และความสำคัญไม่น้อยกว่างานเทศกาลประเพณีใดๆ

– วันเวลาการจัดงาน : ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วันวิสาขบูชา) ถึง แรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ รวม ๑๐ วัน
– สถานที่จัดงาน : วัดพระธาตุทุ่งยั้ง